รวบต่างด้าว เปิดธุรกิจบุฟเฟ่ต์น้ำกระท่อม หัวละ 50 ดื่มไม่อั้น

รวบต่างด้าว เปิดธุรกิจบุฟเฟ่ต์น้ำกระท่อม หัวละ 50 ดื่มไม่อั้น

วานนี้ (6 ส.ค.) มีรายงานว่าตำรวจสมุทรสาคร ได้จับกุมกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบผลิตน้ำกระท่อมและเสพยา โดยเปิดเป็นบุฟเฟ่ต์ ดื่มไม่อั้น ไม่จำกัดเวลา ด้วยราคา 50 บาทต่อคน เมื่อถึงจุดเกิดเหตุ ตำรวจพบว่าที่ดังกล่าวเป็นที่พักของแรงงานต่างด้าวเป็นส่วนใหญ่ และพบห้องต้องสงสัย โดยประตูถูกคล้องกุญแจอยู่ และภายในมีเสียงคนอยู่หลายคน ตำรวจจึงใช้คีมตัดและเข้าควบคุมคนด้านในที่มีกว่า 22 คน ซึ่งมีผู้เสพ 21 คนและคนผลิตน้ำกระท่อม 1 คนชื่อ นายตา

นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบอีกห้องหนึ่งที่นายตาเช่าไว้ 

และพบว่าเป็นแหล่งเก็บอุปกรณ์ พร้อมผลิตน้ำกระท่อม โดยมี ใบกระท่อมสด 5-6 กิโลกรัม, หม้อต้มขนาดใหญ่ 3 หม้อ, น้ำกระท่อมบรรจุขวด 300 ขวด, ยาแก้ไอ 100×100 และน้ำอัดลม นายตา สารภาพกับตำรวจว่า ตนเป็นผู้ผลิตน้ำกระท่อมในห้องเช่าของตัวเอง และเปิดให้ลูกค้าเข้าไปดื่มครั้งละ 10-12 คน และคิดราคาคนละ 50 บาท โดยไม่กำหนดเวลา เมื่อมีลูกค้าก็จะล็อกประตูอำพรางว่าไม่มีคนอยู่ ทำมาแล้วกว่า 1 ปี โดยเชื่อว่าน้ำกระท่อมจะช่วยให้แรงงานต่างด้าวมีแรงทำงานมากขึ้น

หนุ่มฉุน แถมท้าต่อยตำรวจ หลังร้านทองไม่รับซื้อเพชร ‘หายาก’ วานี้ (6 ส.ค.) มีรายงานเกี่ยวกับกรณีที่มีคลิปชายผมยาวปะทะคารมและท้าต่อยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังตนนำเพชรที่อ้างว่าเป็นเพชรหายาก ติดอันดับ 5 ของโลก มูลค่า 3 ล้านบาท ไปขายร้านทองแล้วทางร้านไม่รับซื้อ โดยร้านห้างเพชรทองอุมารินทร์นี้ ตั้งอยู่ในจังหวัดกาฬสินธุ์ และชายคนนี้ได้เข้าไปขายเพชรที่ร้านเมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา

น.ส.อารดา พนักงานประจำร้านเล่าว่า ตนเองอยู่ในเหตุการณ์ และวันดังกล่าว ชายคนนี้เข้ามาในร้านเป็นครั้งแรก ชายคนนี้เข้ามาในร้านและตะโกนพูดเสียงดังว่า จะมาขายเพชรอเล็กซานไดรท์ มูลค่าประมาณ 3 ล้านกว่าบาทให้ทางร้าน แต่ทางร้านได้ปฏิเสธไป และได้แจ้งไปว่าร้านไม่รับเพชรแบบนี้ แต่รับเป็นรูปพรรณเท่านั้น ซึ่งทำให้ชายคนนี้ไม่พอใจ

จากนั้น ชายคนดังกล่าวก็พูดเสียงดังขึ้น บอกว่า “งั้นไม่เป็นไร ขายทองก็ได้” ซึ่งทำให้พนักงานและลูกค้าในร้านตกใจ แล้วชายคนดังกล่าวพูดต่อว่า “ทำไมพวกคุณหาว่าผมเป็นแก๊งต้มตุ๋น เป็นแก๊งหลอกลวง ถ้าไม่รับซื้อผมจะไปขายอยู่บนโรงพักก็ได้” หลังจากพูดเสร็จก็ทำท่าไม่พอใจแล้วเดินออกไปจากร้าน

วันต่อมา ชายคนนี้กลับมาที่ร้านอีก โดยเปิดประตูเข้ามาและถามว่า “น้องครับพี่ถามอะไรหน่อย” ซึ่งตนเองก็อยู่ที่เคาน์เตอร์พอดี จากนั้นชายคนนี้ก็ถามคำถามที่ใช้คำไม่สุภาพ ตำรวจที่เฝ้าอยู่ประจำร้านเห็นเข้าพอดี จึงเดินมาบอกให้ชายรายนี้ออกไปจากร้าน และอย่ามาก่อกวนพนักงานอีก

แต่เขาก็ตอบกลับตำรวจไปว่า “ทำไม ผมจะมาขายเพชรอเล็กซานไดรท์ พวกคุณไม่รู้เหรอว่ามันเป็นเพชรที่หายาก อันดับ 5 ของโลก ราคาเม็ดละ 2-3 ล้านบาท” จากนั้นก็เริ่มก่อเรื่องโวยวาย

นางอุมารินทร์ เลิศสหพันธ์ เจ้าของห้างเพชรทองอุมารินทร์ (นายกสมาคมสตรีอาเซียนกาฬสินธุ์) ระบุว่า จริงๆ แล้ว ทางร้านมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างดี มีกล้องวงจรปิด มีระบบประตูนิรภัย และเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความปลอดภัยตลอดเวลา เนื่องจากอาจเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น และทางร้านอาจะต้องเพิ่มมาตรการระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหายกับทางร้านมากขึ้น โดยเฉพาะกับลูกค้าคนอื่นๆ ที่กำลังใช้บริการอยู่ในร้าน

คลินิกศัลยกรรมทำพิษ ลูกค้าสาวกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา 5 เดือนแล้ว

วันนี้ (6 ส.ค.) นายอภิภู หิรัณยณิช อายุ 26 ปี เจ้าของโรงงานทำอิฐมอญ ผู้เป็นพี่ชายของเหยื่อศัลยกรรมที่หลับเป็นเจ้าหญิงนิทรายาวนานกว่า 5 เดือนได้เดินทางเข้าร้องเรียนกับ ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม

โดยเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา น้องสาวของตนได้เข้าทำศัลยกรรมเหลาโหนกแก้ม เหลาคาง และทำตา 2 ชั้น ที่คลินิกแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ย่านถนนรัชดาภิเษก แต่หลังการผ่าตัด น้องสาวของตนไม่รู้สึกตัว มีอาการชัก และต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลพระราม 9

จนเวลาผ่านมา 5 เดือนแล้ว น้องสาวของตนก็ยังไม่รู้สึกตัว โดยแพทย์ระบุว่า เกิดจาก สภาวะสมองขาดอากาศ ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องได้รับการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้มีค่ารักษาพยาบาลที่ต้องจ่ายอีก 3 ล้านบาท ซึ่งทางแพทย์ที่ทำศัลยกรรมและคลินิก ไม่เคยติดต่อมาเพื่อแสดงความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น

มีรายงานว่า คลินิกดังกล่าวยังเปิดให้บริการตามปกติ และพนักงานจะเข้าทำงานเวลา 12.00 น. และคลินิกจะเปิดทำการเวลา 14.00 น. – 02.00 น. และจากการสอบถาม พนักงานบอกว่าไม่เคยได้ยินเรื่องแพทย์ทำเคสหลุดแต่ เรื่องที่คนไข้กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรานั้นเคยได้ยินจริง และพนักงานบอกว่าทางคลินิกได้รับผิดชอบแล้ว แต่ไม่ขอออกความเห็นอะไร เพราะไม่ทราบรายละเอียดของคนไข้มากนัก และเมื่อโทรไปสอบถามถึงเรื่องดังกล่าว ก็ได้รับคำตอบว่า ขอนำเรื่องนี้เรียนผู้บริหารก่อน

จากการสอบถาม นายวิน ซอ จาน สัญชาติพม่า ผู้ต้องหา กล่าวหาว่า ก่อเกิดเหตุตนได้มีปากเสียงกับผู้ตายมาหลายครั้ง เนื่องผู้ตายชอบไปฟ้องหัวหน้างาน ว่า ตนไม่ทำงานมั่วแต่นั่งเล่นโทรศัพท์ ทำให้หัวหน้างานเชื่อผู้ตาย แต่ในความเป็นจริงตนทำงานจริงไม่เป็นไปตามที่ผู้ตายฟ้องหัวหน้าแต่อย่างใด และตนก็ถูกไล่ออกจากงาน เมื่อถูกไล่ออกจากงานเงินเดือนก็ไม่ได้รับทำให้เกิดความเครียด ก่อนเกิดเหตุตนได้ทะเลาะกับแฟนสาวและได้ดื่มสุราจนเมาจากนั้นได้ไปดักรอผู้ตายในที่เกิดเหตุ เมื่อผู้ตายเดินมากับภรรยาตนได้ใช้เหล็กขูดชาร์ปที่พกติดตามวิ่งไปจ้วงแทงใส่ผู้ตาย 1 ครั้งแล้วได้ชักออกระหว่างที่ดึงกลับเหล็กขูดชาร์ปได้ถูกภรรยาของผู้ตายอีก จากนั้นได้วิ่งมาขึ้นรถจักรยานยนต์ที่จอดไว้แล้วขับหลบหนีไปที่พักพื้นที่.ตกะรน เพื่อเอาอาวุธไปไว้แล้วได้ขับรถจักรยานยนต์มาหาเพื่อนในพื้นที่ต.รัษฎา จนกระทั่งถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด